วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เกรดห่วยมาก ทำไงดี

เจาะลึกหลักสูตรอินเตอร์ในไทย

จากใจติวเตอร์

ต้องเกริ่นก่อนว่า ตอนเด็กๆ จขกท แทบจะไม่ได้เรียนพิเศษเลย

เรียนจริงจังก็วิชาเลขกับไทย-สังคมช่วงสอบเอนทรานซ์เท่านั้น

ปัจจุบัน จขกท รับสอนพิเศษภาษาจีนวันเสาร์-อาทิตย์ตามสถาบันชื่อดังในห้าง

ด้วยความที่ถูกปลูกฝังมาว่า เราต้องเรียนให้คุ้มค่ากับค่าเรียนที่จ่ายไป

จขกท เลยพยายามที่จะให้ความรู้แก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้มงวดอะไรมากมาย มีแบ่งเวลาให้เล่นเกมค่ะ

เวลาเรียนก็จะพยายามให้คัดให้เขียน ไม่อย่างนั้นจะจำตัวจีนไม่ได้

ซึ่ง.. ธรรมชาติของเด็กไม่ชอบเขียนค่ะ

เด็กบางคนจึงบอกผู้ปกครองว่า ไม่ชอบคุณครูคนนี้เลย

แล้ว.. ผู้ปกครองหลายท่านเลือกที่จะเดินไปบอกแอดมินให้เปลี่ยนคุณครู แทนที่จะเดินเข้ามาปรึกษากับผู้สอนว่าเกิดอะไรขึ้น

ไม่แปลกค่ะที่แอดมินจะเปลี่ยนคุณครูให้ หากแหล่งขุมทรัพย์ของพวกเค้ากำลังจะเดินจากไป

ในฐานะติวเตอร์ อยากฝากถึงผู้ปกครองว่า

การพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากฟัง (เช่น ลูกคุณแม่เป็นเด็กน่ารัก ตั้งใจเรียนมากเลยค่ะ บลาๆๆ)
มันง่ายกว่าการป้อนความรู้ให้เด็กหลายๆ คนมากๆ เลยค่ะ

อย่าได้เอาเม็ดเงินมาซื้อเวลาของใครก็ได้ เพื่อมาเล่นเป็นเพื่อนกับลูกของคุณเลยค่ะ

"พ่อแม่รังแกฉัน" มันมีอยู่จริง

ด้วยความปรารถนาดี

ติวเตอร์

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สุดยอด โรงเรียน

                 สมัยสอบเข้าเตรียมทหาร ตอนนั้นพี่ได้ไปเรียนกวดวิชาเหมือนกัน เพราะพี่เรียนสู้เขาไม่ได้ ในปีแรกก็สอบไม่ติดตามคาด ขนาดไปเรียนสถาบันกวดวิชาที่ยอดเยี่ยมอันดับต้น ๆ ของประเทศ ปีต่อมาได้ดรอปเรียนและไปเรียนที่หอครูวรรณ  จนพี่เองสามารถบรรลุผล  และสอบติดสี่เหล่าและจ่าอากาศอันดับต้น ๆ ของประเทศ  ด้วยเทคนิคอะไรก็แล้วแต่ แต่มีอยู่เทคนิคหนึ่งที่น้อง ๆ สามารถไปเข้าคอร์สเรียนได้กันทุกคน  และที่สำคัญสอนดีกว่าที่ไหนทุก ๆ  ที่ในโลก โรงเรียนนี้มีครูสอนอยู่คนเดียว  และมีนักเรียนคนเดียวนั้น คือ   โรงเรียนอ่านเองวิทยา ครับ
   แม้แต่หอครูวรรณหรือสถาบันกวดวิชามีชื่อ เสียงแค่ไหนของประเทศไทยก็สู้ไม่ได้    พี่เคยสอบถามนักเรียน เตรียมทหารกว่า 500 คน และนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิง  ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตนเองก็ผ่านการกวดวิชาจากโรงเรียนอ่านเองวิทยามาแล้วทั้งนั้น...
   สุดยอดของโรงเรียนกวดวิชา คือ โรงเรียนอ่านเองวิทยา
   สุดยอดของอาจารย์กวดวิชา คือ  ตัวของเราเอง
   สุด ยอดของหนังสือที่ดีที่สุดคือ   ไดอารี่ที่มาจากอาจารย์จากโรงเรียนอ่านเองวิทยาได้ผลิตขึ้นมา    ก็คือตัวเราเองได้ทำมันขึ้นมาแหละครับ
   ในการที่น้องจะสอบเข้าโรงเรียน ชั้นนำระดับประเทศได้นั้น   โรงเรียนที่พี่บอกไป คือ โรงเรียนอ่านเองวิทยา  หมายถึงการอ่านหนังสือด้วยตนเอง ได้ผลดีที่สุดแล้ว     น้องเคยสังเกตไหมเวลาน้องไปเรียนกวดวิชาที่ไหนก็แล้วแต่ อาจารย์สอนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแล้วแต่ละที่ แต่เชื่อไหมว่า  ถ้าน้องลองมาอ่านเอง  ทำความเข้าใจกับมัน แป็บเดียวก็เข้าใจเนื้อหาวิชานั้นอย่างถ่องแท้เลย    ในการเข้าสู่สนามสอบใดก็ตาม    ถ้าน้องมัวแต่ไปพึ่งบรรดาเกจิจากสถาบันกวดวิชาชื่อดังแต่เพียงอย่างเดียว  เตรียมผิดหวังได้เลย
   ชีทสรุปย่อของบรรดาอาจารย์สอนทั้งหลาย  ไม่มีทางสู้สรุปย่อของน้องที่ทำเองกับมือได้หรอกครับ                                     
   การไปกวดวิชาหรือไปเรียนพิเศษพี่สนับสนุนครับ ไปได้ แต่ไปให้เห็นและรู้ว่าเขาทำอะไรกัน เขาสอนอะไรกัน  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด น้องต้องพึ่งตนเอง  น้องเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่พี่จะบอกให้ทราบ   โรงเรียนกวดวิชานั้น เหมือนกับสถานที่จับเด็กมานั่งอ่านหนังสือรวมกัน  เมื่อน้องอยู่ในสภาวะเช่นนั้น น้องก็จะแอ็กทีฟ หรือเขาเรียกว่าสภาพแวดล้อมที่ทำให้ต้องอ่านหนังสือเหมือน คนอื่น ๆ กลายเป็นว่าเราต้องมานั่งอ่านหนังสือรวมกัน   น้องคิดดูนะ  โรงเรียนกวดวิชามีส่วนช่วยให้น้องสอบติดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 80 เปอร์เซ็นต์ มาจากความสามารถของน้องเอง ความเอาใจใส่ต่อการเข้าโรงเรียนอ่านเองวิทยา การทำโจทย์อย่างแสนสาหัส ทำการบ้าน   ถามว่าถ้าน้องไม่อ่านเองจะเข้าใจไหม  อีก 10 เปอร์เซ็นต์ ดวงชะตาและบารมี   พี่เคยเจอบางคนมาเรียนกวดวิชาแล้วเรียนไม่รู้เรื่องเพราะพื้นฐานไม่ดี พื้นฐานไม่ดีเกิดจากอะไร เกิดจากน้องไม่เอาใจใส่ ไม่เข้าโรงเรียนอ่านเองวิทยาในช่วงเวลาที่ผ่านมา แน่นอน ไม่มีใครช่วยท่านได้นอกจากตัวท่านเอง หลาย ๆ โรงเรียนกวดวิชาพูดเช่นนี้  เอาหัวเป็นประกัน  โรงเรียนกวดวิชา ไม่ได้ช่วยอะไรน้องมากมายหรอกนะสำหรับน้องที่พื้นฐานไม่แน่น    (ขอโทษอาจารย์ที่สอนกวดวิชาด้วย แต่เป็นเรื่องจริง   เพราะผมผ่านจุดนั้นมา)
   สรุปง่าย ๆ คือ อยากให้น้องอย่าเอาใจใส่ในการเข้ากวดวิชามากเกินไป ควรเอาใจใส่ตัวน้องเองดีกว่า  ถ้าน้องไม่ขยันอ่านหนังสือ ไม่มีทางไปถึงฝันเลย  อย่าหวังเส้นสาย  น้องปล่อยให้ไอ้พวกที่คุยกว่ามีเส้นคุยต่อไปเถิด  น้องตั้งใจอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนให้แน่น แล้วไปเรียนกวดวิชา แล้วน้องจะได้ความรู้จากการกวดวิชาอย่างมาก อาจารย์ที่สอนกวดวิชามีเทคนิคทุกคน...  ในการเรียนกวดวิชา   น้อง ๆ มักจะเชื่อ อาจารย์ที่จบสูง ๆ   และให้ความเคารพนับถือมากว่าเขาต้องสอนดี แต่น้องเคยเจอแบบปริญญาเอก 3 ใบมาสอนไหม สอนไม่รู้เรื่องเลย จบนอกมาอย่างนี้ สอนไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าไฮไลต์อยู่ที่การสอนของอาจารย์ ขอให้อาจารย์สอนให้เข้าใจและรู้เรื่องเท่านั้นพอ จงศรัทธาในอาจารย์ที่สอนเราแล้วเข้าใจ อย่าศรัทธาอาจารย์ที่เก่ง    เพราะอาจารย์เค้าเก่ง แต่เขาไม่ได้ทำให้เราเก่งเหมือนเขา...จำไว้

ถ้าจะสอบติด จำเป็นไหมต้องเรียนกวดวิชาโดยตรง

เอ่ออยากให้ลองไปอ่านที่
http://www.mayahol.com/forum2/index.php?topic=219.10;wap2
อ่ะ นะ สำหรับส่วนตัวคิดว่า ถ้าตัวเองมีความรับผิดชอบ ความตั้งใจ ความขยันก็คงไม่จำเป็นหรอก แต่กวดวิชามันเหมือนจับเรามานั่งอ่านหนังสืออ่ะนะ
ต้องเทียมเกวียนเยี่ยงควายนั่นแหละ อดทน แม้ร้อน แดด ฝน หนาว :)
พยายามทำข้อสอบเก่าๆเยอะๆ ทำข้อสอบหลายๆสถาบัน เช่น สมาคมคณิต เตรียมอุดม มหิดล
ความฝันคงไม่ไกลเกินเอื้อมม 
topsza55:
เนื่องจากปีนี้ผมไม่ติดเลย ติดช่างฝีมืออย่างเดียว 4 เหล่าไม่ได้สักเหล่า
เหลือโอกาสสอบอีกปีสุดท้าย ผมคงไม่เสี่ยงดรอปก็คงจะขยันขึ้นอีก 100 เท่าแน่ๆ
แต่สิ่งที่ผมจะถามก็คือ ผมความรู้สึดเหมือนพี่เตียวเลยครับ เหมือนตอนสอบไม่ติดปีแรก เรียนมาทั้งปี
แต่ไม่เก่งสักที เรียนไม่ถูกจุด ไปเรียนของคนเก่ง สอบก็ได้กลางๆ รู้บ้างไม่รู้บ้าง
ปีนี้ผมควรจะออกไปเรียน กวดวิชาหลายๆที่ดีไหมครับ เช่น เสาร์-อาทิตย์ คณิต วิทย์ อังกฤษ
จันทร์-ศุกร์ คณิต วิทย์ ส่วนเรื่องออกกำลังกาย ผมทำอยุ่บ้านก็ได้ แล้วพอถึง 2 เดือนสุดท้ายเอาให้ผมแน่นซะเกิน ผมจะได้เรียนรุ้เรื่องรับรู้กลยุทธได้เต็มที่เลย
หรือว่าจะลงเรียนประจำดีครับ นอนกินที่นั้น แต่เรียน ม.4 อยุ่

เรียนกวดวิชาของเด็กไทยดีจริง หรือเครียดหนัก

เรียบเรียงโดย teen.mthai.com
Image

เรียนกวดวิชาของเด็กไทยดีจริง หรือเครียดหนัก 

ศ. ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ระดับอุดมศึกษาแถลงผลสำรวจความคิดเห็นต่อการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนของนักเรียน นักศึกษาไทยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ศ.ศรีศักดิ์กล่าวสรุปว่าจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,116 คน นั้นในด้านข้อมูลทางประชากรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 51.16 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 48.84 เป็นเพศชาย ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 38.08 และร้อยละ 33.51 มีอายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 14 ถึง 16 ปีและ 17 ถึง 18 ปีตามลำดับ และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบ เท่าซึ่งคิดเป็นร้อยละ 41.4
ในด้านพฤติกรรมการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียน กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 61.29 ระบุว่าเคยเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนในปีการศึกษาก่อนหน้า ขณะที่มีกลุ่มตัวอย่างถึงประมาณสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 66.04 ระบุว่าในปีการศึกษา พ.ศ. 2557 นี้ตนเองจะเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียน ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 33.96 ระบุว่าจะไม่เรียน
สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ระบุว่าตั้งใจจะเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนนั้น กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 54.68 ตั้งใจจะเรียนกวดวิชาที่สถานกวดวิชาเป็นการเฉพาะรองลงมาคือให้ครูอาจารย์มา สอนที่บ้านคิดเป็นร้อยละ 22.93
ส่วนวิชาที่กลุ่มตัวอย่างตั้งใจจะเรียนในการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนสูงสุด 5 วิชา ได้แก่
ภาษาไทย คิดเป็นร้อยละ 83.04
สังคมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 81.55
ภาษาอังกฤษ คิดเป็นร้อยละ 79.65
คณิตศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 76.66
และเคมีคิดเป็นร้อยละ 73.68
นอก จากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตั้งใจจะเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนประมาณ 3 – 5 วันต่อสัปดาห์ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 46.68 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างเกือบหนึ่งในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 30.66 ตั้งใจจะเรียน 6 – 7 วันต่อสัปดาห์ และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 43.01 ตั้งใจจะเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนทั้งวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) และวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์)
20140604-1401891652.93-9
เรียนกวดวิชาของเด็กไทยดีจริง หรือเครียดหนัก
สำหรับสาเหตุสำคัญสูงสุด 5 อันดับที่กลุ่มตัวอย่างตั้งใจจะเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนในปีการศึกษา 2557 นี้ ได้แก่
เตรียมความพร้อมเพื่อการสอบในระดับการศึกษาที่สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 82.5
ไม่เข้าใจที่ครูอาจารย์สอนในชั้นเรียน คิดเป็นร้อยละ 80.87
สิ่งที่เรียนในชั้นเรียนยังไม่เพียงพอ คิดเป็นร้อยละ 78.29
เพื่อนฝูงชักชวนให้เรียนด้วยกัน คิดเป็นร้อยละ 76.26
และต้องการให้ผลการเรียนดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ 73.27
ส่วนสาเหตุสำคัญที่กลุ่มตัวอย่างไม่เรียนกวดวิชานอกเวลาเรียน 5 อันดับสูงสุดได้แก่
อยากพักผ่อนหลังเวลาเรียนปกติ/วันหยุด คิดเป็นร้อยละ 82.85
ขี้เกียจเรียน คิดเป็นร้อยละ 81.53
ไม่ชอบการเรียนกวดวิชา คิดเป็นร้อยละ 77.84
สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย คิดเป็นร้อยละ 75.99
และไม่มีเพื่อนเรียนด้วย คิดเป็นร้อยละ 70.45
สำหรับความคิดเห็นต่อการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 47.94 และร้อยละ 45.88 มีความคิดเห็นว่าการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนจะช่วยให้นักเรียนนักศึกษาทำ ข้อสอบในวิชานั้นๆ ได้คะแนนดีขึ้นได้จริงและจะช่วยทำให้นักเรียนนักศึกษามีทักษะความรู้ในวิชา นั้นๆ เพิ่มขึ้นได้จริง ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการเรียนกวดวิชานอกเวลา เรียนทำให้นักเรียนนักศึกษามีสมาธิในการเรียนในชั้นเรียนน้อยลงซึ่งคิดเป็น ร้อยละ 48.03 ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 47.13 เห็นด้วยว่าการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนทำให้นักเรียนนักศึกษาให้ความสนใจ กับการทำกิจกรรมในชั้นเรียนน้อยลง นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือคิดเป็นร้อยละ 56.45 ไม่เห็นด้วยว่าการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนทำให้นักเรียนนักศึกษาใช้เวลาทำ กิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น เล่นเกม เที่ยวเตร่ น้อยลง
ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างถึงครึ่งหนึ่งหรือคิดเป็นร้อยละ 50.81 มีความคิดเห็นว่า
“การ เรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนจะส่งผลให้นักเรียนนักศึกษามีความเครียดมากขึ้น ส่วนกลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งซึ่งคิดเป็นร้อยละ 52.06 มีความคิดเห็นว่าการเรียนกวดวิชานอกเวลาเรียนจะส่งผลให้นักเรียนนักศึกษามี เวลาพักผ่อนน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าการเรียนกวดวิชานอก เวลาเรียนมีความจำเป็นสำหรับนักเรียนนักศึกษาซึ่งคิดเป็นร้อยละ 47.22″
ข้อมูล ทั้งหมดนี้ ไม่ได้สรุปว่าน้องๆ ควรจะเรียนกวดวิชา หรือไม่ควรเรียนนะคะ แต่เป็นการสำรวจความคิดน้องๆ บางส่วน ดังนั้นน้องๆ แต่ละคนต้องรู้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร และสนใจอยากรู้ อยากศึกษา อยากเรียนอะไรเพิ่มเติม ทีนเอ็มไทยเชื่อว่า หากน้องๆ มีความตั้งใจและสนใจ รักหรือชอบกับสิ่งนั้นๆ จริง ก็จะไม่มีอุปสรรคใดมาขวางความสำเร็จทางการศึกษาของเราได้แน่นอนค่ะ

ข้อมูลจาก  matichon/ eduzones